การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสม
👉การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสม 👈
การพิจารณาเลือกซื้อคอมพิวเตอร์
เป็นขั้นตอนสำคัญซึ่งเราควรทำความเข้าใจก่อนศึกษาเรื่องอื่นซึ่งเนื้อหาในบทนี้จะแบ่งออกเป็น
2 ส่วนหลัก คือการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์
และการเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์บางชิ้นในกรณีที่เราต้องการซื้ออุปกรณ์มาประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เอง
หรือเราต้องการอัพเกรดอุปกรณ์บางชิ้นภายในเครื่อง เช่น
ต้องการซื้อฮาร์ดดิสก์ตัวใหม่ที่มีความจุมากกว่าเดิม
หรือซื้อแรมมาเพิ่มให้ประมวลผลได้เร็วยิ่งขึ้น เป็นต้น
เนื้อหาในส่วนนี้จะให้รายระเอียดและขั้นตอนในการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อให้เราได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
และไม่ถูกหลอกในการเลือกซื้อ
โดยพอสรุปขั้นตอนที่เราควรคำนึงถึงเป็นแผนภาพดังต่อไปนี้
💙ลักษณะการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนแรกที่เราควรพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ นั่นคือต้องการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้งานอะไร เป็นต้นเพื่อที่เราจะสามารถเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งานโดยเราจะแบ่งระดับผู้ใช้งานเป็น 3
ประเภท คือ
1. Basic User ได้แก่ ผู้ใช้โปรแกรมประเภท Windows
95/98/Me,Ms Office และดูหนังฟังเพลง
2. Power User ได้แก่ ผู้ใช้งานด้านกราฟฟิกและเล่นเกม
เช่น โปรแกรม Photoshop ,AutoCAD
3. Graphic User ได้แก่
ผู้ที่ใช้งานด้านกราฟฟิกเป็นหลัก เช่น โปรแกรม Photoshop,AutoCAD และ
3D Studio Max ตารางข้างล่างจะเป็นตัวอย่างในการเลือกอุปกรณ์ในการใช้งาน
💛สเป็คของเครื่องคอมพิวเตอร์

😊ข้อดี
คือการได้เครื่องที่มีคุณภาพสูง
อุปกรณ์ต่างๆถูกคำนวณและปรับแต่งด้วยวิศวกรที่ชำนาญ
เพื่อให้ประสิทธิภาพเครื่องโดยรวมมีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ยังมีการประกันและบริการหลังการขายเป็นอย่างดี
(ในบางครั้งอาจมีการฝึกอบรมการใช้เครื่องหรือโปรแกรมแก่ผู้ใช้ด้วย)และเมื่อเครื่องเสียจะซ่อมได้ง่ายเนื่องจากช่างรู้อุปกรณ์ต่างๆเป็นอย่างดี
😉ข้อเสีย
1.เครื่องมีราคาแพงที่สุดและเลือกสเป็คตามต้องการไม่ได้
(เพราะว่าสเป็คได้ถูกกำหนดมาแล้วเป็นชุด) เนื่องจากการดูแลรักษาง่าย
มีปัญหาน้อยที่สุด ดังนั้น
การซื้อเครื่องแบบนี้จะเหมาะกับผู้ซื้อไม่มีประสบการณ์ในการใช้เครื่องและมีทุนทรัพย์เพียงพอและเหมาะกับองค์กรที่ใช้เครื่องเป็นจำนวนมาก
2.กลุ่มผู้ซื้อเครื่องประกอบตามใบสั่งจากร้าน
ข้อดี คือสามารถกำหนดสเป็คและรุ่นได้ ราคาถูก
(ส่วนการรับประกันและบริการหลังการขายขึ้นกับทางร้าน) สามารถจำกัดงบได้
ข้อเสีย คือ
การประกอบเครื่องอาจเป็นเพียงการนำอุปกรณ์ตามที่เรากำหนดสเป็คไว้มาประกอบรวมกันเท่านั้น
ไม่ได้คำนวณและปรับแต่งเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งกว่านั้นถ้าเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์นั้น
เราอาจได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอหรือได้สินค้าปลอม
และเมื่อเครื่องเสียต้องยกมาที่ร้านเอง
3.กลุ่มผู้ซื้อเครื่องประกอบโดยนำมาประกอบเอง
ข้อดี คือ
ได้อุปกรณ์ที่ดีมีคุณภาพเพราะเป็นอุปกรณ์ใหม่แกะกล่อง
แน่ใจได้เลยว่าไม่ใช่สินค้าปลอม สามารถเลือกรุ่น
และยี่ห้อได้เช่นเดียวกับแบบสั่งประกอบ แต่เลือกได้หลากหลายกว่า
และอาจซื้อได้ถูกกว่าอีกด้วย
ข้อเสีย คือ
ราคาโดยรวมอาจจะสูงกว่าซื้อตามใบสั่งบางรายการ
เพราะอุปกรณ์ที่ได้จะดีกว่าและผู้ซื้อต้องเสียเวลาในการประกอบเครื่องเองและติดตั้งโปรแกรมด้วยตนเอง
“คอมพิวเตอร์มีขายเยอะแยะ ทำไมต้องประกอบเอง” คำตอบง่ายๆก็คือ
ก็เพราะว่าเครื่องที่ประกอบใช้เองนั้นราคาประหยัดกว่า
สามารถเลือกสเปคและยี่ห้ออุปกรณ์ได้ตามความพอใจ
และที่สำคัญคือเลือกได้ทันสมัยกว่าเครื่องแบรนด์เนมทั่วไปอีกด้วย
💚การรับบริการหลังการขาย
สิ่งที่เราควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจในการซื้อที่มีความสำคัญเท่า
ๆ กับราคาและสเป็คก็คือบริการหลังการขาย เพราะเมื่อเครื่องมีปัญหาในการทำงาน
และทางร้านรับประกันเครื่อง เราสามารถรับบริการได้ตามการประกันนั้น เช่น
การซ่อมแซม เป็นต้น ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รูปแบบในการรับประกันในปัจจุบันนี้รูปแบบการรับประกันมี
2 แบบ คือ
1. การรับประกันสินค้าแบบรวมค่าแรง
เป็นลักษณะที่เมื่อเครื่องเกิดปัญหาทางร้านยินดีไปรับมาซ่อมและนำส่งเมื่อซ่อมเสร็จแล้วโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
โดยส่วนมากจะเป็นร้านที่มีชื่อเสียงและสินค้าที่รับประกันจะเป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ
เช่น สินค้าที่มี Brand name ต่างๆ และมีราคาค่อนข้างแพง
2. การรับประกันแบบไม่รวมค่าแรง
เป็นลักษณะที่เมื่อเครื่องเกิดปัญหาเราต้องนำเครื่องไปซ่อมเองที่ร้านและรับกลับเองเมื่อซ่อมเสร็จ
และบางครั้งอาจมีการคิดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมด้วย
ซึ่งการรับประกันแบบนี้จะใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ราคาถูกทั่วไปหรือการซื้อเครื่องมาประกอบเองสำหรับการเลือกบริการหลังการขายนี้เราต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าแบบใดจึงจะเหมาะสมกับเครื่อง
และลักษณะของการใช้งานแบบไหน
ถ้าเป็นการใช้งานเกี่ยวกับโปรแกรมกราฟฟิกหรือโปรแกรมที่มีความซับซ้อน (ระดับ Graphic
User) เราควรเลือกรูปแบบการรับประกันสินค้าแบบรวมค่าแรง
เพราะนอกจากที่เราจะได้สินค้าที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีแล้ว
เมื่อเครื่องหรืออุปกรณ์มีการขัดข้องก็สามารถรับบริการหลังการขายตลอดระยะเวลาในการรับประกันได้ถ้าหากเราเลือกแบบไม่รวมค่าแรงเมื่อเครื่องขัดข้องหรือมีปัญหา
เราจะต้องนำเครื่องไปที่ร้านเองทุกครั้งและเสียค่าใช้จ่ายมากด้วย
เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่มีความซับซ้อนในการใช้งานกว่า
ความเสียหายอาจจะมากกว่าเครื่องที่ใช้งานแบบธรรมดา ระยะเวลาในการรับประกัน
ในการรับประกันสินค้านั้นทางร้านจะกำหนดระยะเวลาในการประกันด้วย
โดยส่วนมากเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีการประกัน 1 ปี
แต่ถ้าเราซื้อเครื่องแบบประกอบเราควรจะต้องทราบก่อนว่าอุปกรณ์แต่ละตัวมีการประกัน
และมีระยะการรับประกันอย่างไร
ซึ่งรายละเอียดของการรับประกันอุปกรณ์แต่ละตัวแสดงดังตาราง
อุปกรณ์ระยะเวลาในการประกัน*
ฮาร์ดดิสก์
3 ปีสำหรับตัวแทนภายในประเทศ (เช่น
ตัวแทนจำหน่วยฮาร์ดดิสก์ Quantum และ Seagate เป็นต้น)
1 ปีสำหรับผู้นำเข้าที่ไม่ใช่ตัวแทนจำหน่ายในประเทศ
หน่วยประมวลผล (CPU)
3 ปีสำหรับซีพียูที่นำเข้าภายในประเทศ1
ปีสำหรับซีพียูที่นำเข้าโดยพ่อค้ารายย่อย
หน่วยความจำ (RAM)
รับประกัน 1 ปี
(หรือตลอดอายุการใช้งานซึ่งขึ้นอยู่กับยี่ห้อของหน่วยความจำ)
เมนบอร์ด
รับประกัน 1 ปี
การ์ดแสดงผล
รับประกัน 1 ปี
แหล่งจ่ายไฟ (Power supply)
รับประกัน 1 ปี
*ระยะเวลาในการรับประกันอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
ดังนั้นควรมีการเช็คดูก่อนเสมอดังนั้น
เราควรจะรักษาสติกเกอร์ให้ดีเพราะถ้าหากสติกเกอร์มีรอยฉีกขาด
(หรือในกรณีที่สติกเกอร์ลอกจะเกิดรอยเป็นตัวอักษรคำว่า ” Void”) หรือมีการแกะสติกเกอร์ออกไม่ว่าจะกรณีใดๆ
ทั้งสิ้นทางร้านจะถือว่าการรับประกันสิ้นสุดลง
จากเหตุผลข้างต้นเราจึงควรตรวจสอบด้วยว่าผู้ขายได้ติดสติกเกอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือไม่เช่น
ถ้าติดสติกเกอร์ในตำแหน่งที่หลุด หรือมีรอยได้ง่าย
ในขณะที่เปลี่ยนฮาร์ดดิสก์หรือขณะย้ายเครื่องเราควรแจ้งให้เปลี่ยนตำแหน่งใหม่
ซึ่งตำแหน่งที่จะติดสติกเกอร์ควรเป็นตำแหน่งที่หลีกเลี่ยงการเสียดสีหรือการสัมผัสบ่อย
ๆ
เมื่อเครื่องเสียหรือต้องการเปลี่ยนอุปกรณ์เราควรแจ้งทางร้านที่รับประกัน
เราไม่ควรจะถอดตัวถังของซีพียูเองเนื่องจากผู้รับประกันอาจจะไม่รับประกันเพราะมีรอยเสียหายหรือการถอดเปลี่ยนอุปกรณ์
เมื่อเราได้เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ
แล้วก่อนที่จะออกร้านเราควรเช็คหรือตรวจสอบเครื่องก่อน
เพื่อตรวจดูว่าเครื่องที่ได้ตรงตามสเป็คและมีการชำรุดหรือไม่ ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบ
3 วิธีดังนี้
1. การตรวจสอบโดยเปิดฝาเครื่อง
โดยการเปิดฝาเครื่องออกมาเพื่อดูส่วนประกอบภายในเครื่องเป็นการตรวจที่ง่ายที่สุด
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เราทราบเพียงว่าส่วนประกอบของเครื่องมีอะไรบ้าง
แต่ไม่สามารถเช็คการทำงานของอุปกรณ์นั้นๆ ได้
ว่าทำงานได้จริงและมีความถูกต้องหรือไม่
2. การตรวจสอบด้วยวินโดวส์
โดยการใช้โปรแกรมพิเศษในการตรวจ (เช่น Norton Utilities) หรือใช้Control
Panel ที่มีอยู่แล้วในเครื่องก็ได้
ซึ่งวิธีนี้สามารถตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ได้
3. การตรวจเครื่องด้วยไบออส
เป็นกระบวนการที่ตรวจสอบฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ภายในเครื่องทุกครั้งที่เปิดเครื่องขึ้นมา
เช่น หน่วยประมวลผล (CPU) หน่วยความจำ (RAM) ส่วนของอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูล
อุปกรณ์ต่อพ่วงภายนอกและการ์ดที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อดูว่าฮาร์ดแวร์เหล่านี้สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่หรือมีความขัดข้องในการทำงาน
และเป็นวิธีที่เราสามารถเช็คว่า ได้เครื่องตามสเป็คหรือไม่
ถึงแม้ว่าการตรวจด้วยวิธีนี้จะไม่ละเอียดมากนักแต่ก็ทำการตรวจได้รวดเร็วดังนั้นจึงเหมาะในการตรวจดูเครื่องก่อนออกจากร้านสำหรับการตรวจเครื่องโดยใช้ไบออสนั้นทำได้ง่าย
เพราะหลังจากที่เราเปิดเครื่องขึ้นมาไบออสจะนำกระบวนการ POST (Power On
Self Test) มาตรวจสอบฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ
ว่าอุปกรณ์เหล่านี้สามารถทำงานได้ถูกต้องหรือไม่
และแสดงข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในเครื่องให้เราทราบ
ซึ่งถ้าหากเราพบว่าไม่ถูกต้องก็ให้แจ้งกับทางร้านให้ทราบก่อนนำออกจากร้านเพื่อทำการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น
ๆในกรณีที่เราสังเกตไม่ทันไม่ควรปิดเครื่องในระหว่างที่วินโดวส์กำลังบู๊ต
เพราะจะทำให้วินโดวส์มีปัญหาในการทำงานภายหลังได้
เราควรปิดเครื่องก่อนที่เครื่องจะเข้าสู้ขั้นตอนการบู๊ตของวินโดวส์หรือรอให้วินโดวส์บู๊ตเสร็จก่อนแล้วจึง
Restart เพื่อเริ่มการสังเกตข้อความที่แสดงโดยไบออสอีกครั้ง
เมื่อเราเปิดเครื่องขึ้นมา
โดยทั่วไปที่หน้าจอของเครื่องจะปรากฏหน้าจอ 3
หน้าจอ โดยที่
หน้าจอแรก จะแสดงข้อมูลของการ์ดแสดงผล
ที่หน้าจอแรกนี้จะแสดงข้อมูลของการ์ดแสดงผลที่ใช้ในเครื่อง ได้แก่ ยี่ห้อ, รุ่นของชิป
CPU, ชนิดของ Slot ติดตั้ง,
ขนาดของแรมบนการ์ด,เวอร์ชันของ BIOSที่ใช้บนการ์ด
หน้าจอที่สอง จะแสดงการตรวจสอบสถานะของเครื่อง
(Power On Self Test) โดยเริ่มจากมีเสียง Beep ดัง
1 ครั้ง แสดงว่าเครื่องทำงานปกติ
(แต่ถ้าได้ยินเสียงดังมากกว่า 1 ครั้ง ให้รีบปิดเครื่องทันที)
จากนั้นเครื่องจะเริ่มตรวจนับแรมรุ่นและความเร็วของซีพียู
ต่อไปก็จะทำการตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ และซีดีรอมไดรว์ต่อไป
หน้าจอที่สาม จะแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการตรวจสอบ
ที่หน้าจอนี้จะแสดงอุปกรณ์ เช่น รุ่นและความเร็วของซีพียู ขนาดของหน่วยความจำ Cache
ฟล็อปปี้ดิสก์ไดรว์ รุ่นของฮาร์ดดิสก์ และซีดีรอมไดรว์ เป็นต้น
สืบค้น ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2561 อ้างอิง https://108oa.co.th
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น